เมนู
ศัลยกรรมจมูก
ศัลยกรรมตาสองชั้น
ศัลยกรรมปาก
เสริมหน้าอก
เสริมคาง
ตัดกราม ยุบโหนกแก้ม ทุบโหนกแก้ม
ผ่าตัดแปลงเพศ
เสริมสะโพก
ดูดไขมัน ตัดไขมัน
ดึงหน้าไม่ต้องผ่าตัด
หน้าหลัก
ศัลยกรรมส่วนต่างๆ
รีวิว
คลิปรีวิว
ประวัติอ.นายแพทย์ทนงศักดิ์
แนะนำแพทย์
มาตรฐานโรงพยาบาล
ติดต่อเรา
สรรค์งามดั่งหมาย ปลอดภัยมาตรฐาน เชี่ยวชาญชำนาญ ตรงกาลตรงใจ
โรงพยาบาลเอเซีย
หน้าหลัก
ศัลยกรรมส่วนต่างๆ
เสริมจมูก
ศัลยกรรมตาสองชั้น
ศัลยกรรมปาก
เสริมหน้าอก
เสริมคาง
ตัดกราม
ผ่าตัดแปลงเพศ
เสริมสะโพก
ดูดไขมัน กระชับสัดส่วน
ดึงหน้าไม่ต้องผ่าตัด
รีวิว
รีวิวเสริมหน้าอก
รีวิวเสริมจมูก
รีวิว ยุบโหนกแก้ม ทุบโหนกแก้ม ตัดกราม
รีวิวแปลงเพศ
รีวิวดูดไขมันกระชับสัดส่วน
รีวิวเสริมคาง
รีวิว ตา2ชั้น
คลิปรีวิว
ประวัติอ.นายแพทย์ทนงศักดิ์
แนะนำแพทย์
มาตรฐานโรงพยาบาล
ติดต่อเรา
Category Archives: บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
รวบรวมบทความน่ารู้เกี่ยวกับการศัลยกรรม
โรงพยาบาลสะอาด ห้องผ่าตัดปราศจากเชื้อโรค มาตรฐานสากล ต้องที่โรงพยาบาลเอเซีย
September 8, 2014
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเสริมจมูก และหลังผ่าตัด เป็นสิ่งหนึ่งที่คนไข้ต้องให้ความสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยส่วนตัวของคนไข้เอง ทั้งในส่วนของการเลือกโรงพยาบาลเพื่อทำการผ่าตัด เราต้องคำนึงถึงความสะอาดของ โรงพยาบาลว่า โรงพยาบาลสะอาด หรือเปล่า ห้องผ่าตัด ปราศจากเชื้อโรคหรือใหม่ เพราะว่า การผ่าตัดนั้นหากสถานที่ทำไม่สะอาด ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ ความสะอาดของโรงพยาบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญอีกประกาศนึง และการดูแลตัวเองก่อนการผ่าตัดนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด โดยการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดนั้น หากว่าคนไข้เป็นคนสูบบุหรี่ ต้องงดการสูบทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด ประมาณ 2 สัปดาห์ แอลกอฮอล์ก็เช่นกัน คนไข้ต้องงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัด 5 วัน ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการติดเชื้อ และอาการบวมที่อาจจะยาวนานกว่าคนไข้ปกติทั่วไป อีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะต้องงด ก็คือ งดการใช้ยากลุ่มแอสไพริน โดยเฉพาะคนไข้ที่ใช้ยารักษาโรคไซนัส หรือยาแก้ไออยู่ จะมีผลต่อปัญหาเลือดคั่ง ในระหว่างการผ่าตัด และหลังผ่าตัดอีกด้วย ข้อแนะนำที่ดีคือ คนไข้ควรแจ้งประวัติการใช้ยา และการแพ้ยา รวมทั้งอาหารเสริมที่รับประทานอยู่ เพื่อให้ทีมแพทย์ระมัดระวังเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นพิเศษ แม้กระทั่งวิตามิน อี และวิตามินซี ที่เราคิด (เอาเอง) ว่าคงไม่เป็นอันตรายต่อการผ่าตัด ก็จำเป็นต้องงดเพราะมีผลระหว่างการผ่าตัด ทำให้เลือดหยุดไหลยาก ข้อควรระวังเหล่านี้ เป็นสิ่งที่แพทย์ให้คำแนะนำในวันที่มาปรึกษาเรื่องการทำศัลยกรรม และคนไข้จำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะความเสี่ยงขึ้นในระหว่างการทำการผ่าตัด เมื่อถึงวันนัดผ่าตัดเสริมจมูก ควรมีใครมาเป็นเพื่อน เพื่อดูแล ให้ความช่วยเหลือ หลังผ่าตัด เพราะคนไข้จะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เต็มที่ เนื่องจากฤทธิ์ยานอนหลับอาจจะทำให้เกิดอาการสลึมสะลือ หลังผ่าตัดควรใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่มีอาการบวม อย่างน้อย 2 วัน เพื่อไม่ให้เกิดอาการอักเสบมากเกินไป สุดท้ายโรงพยาบาลเอเซียเป็นโรงพยาบาลสะอาด ห้องผ่าตัดปราศจากเชื้อโรคเพราะเราคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าเป็นหลัก ลูกค้าจึงวางใจได้ถึงความปลอดภัยในการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอซีย
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
เสริมหน้าอกที่ไหนดี…ถึงจะสวยอย่างปลอดภัย
May 19, 2014
ณ วินาทีต้องยอมรับเลยครับว่าการทำศัลยกรรมอก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าการเสริมหน้าอกนั้น มาถึงตอนนี้ก็ยังเป็นการทำศัลยกรรมที่ยังติดอันดับ top five กันอยู่ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าเดียวนี้สาวไทยส่วนใหญ่นั้นมีขนาดไซด์หน้าอกที่เล็กลงกันเยอะครับ ไม่อย่างนั้นวดีเด็ดแบบนี้ไม่มีทางดังได้ครับกับวลีที่ว่าคือ “หน้าหลังเท่ากันแยกไม่ออก” “ทำไมต้องหันหลังพูดไม่หันหน้าพูด” “เรียบเป็นไม้กระดาน” เพราะเหล่าหญิงสาวที่ถูกล้อด้วยวลีอย่างนี้มีเพิ่มขึ้นเลยทำให้ธุรกิจด้านชุดชั้นในเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงด้านวงการศัลยกรรมอย่างหมอด้วยครับ เอาละครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เสริมหน้าอกที่ไหนดี...ถึงจะสวยอย่างปลอดภัย ผู้ที่อยากจะทำต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำอกอย่างละเอียดก่อนครับ โดยข้อมูลที่จำเป็นต้องมีอยู่ในมือประกอบด้วย คุณสามารถลางานได้กี่วัน(เพราะการผ่าตัดเสริมน่าอกนั้นถือว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ ดังนั้นคุณควรจะถามที่ทำงานของคุณว่าคุณมีสิทธิ์ลาพักผ่อนหลังการผ่าตัดได้มากที่สุดกี่วัน) โรงพยาบาลหรือคลินิกไหนบ้างที่อยู่ใกล้ที่พักคุณมากที่สุด(กรณีที่คุณไม่อยากข้ามจังหวัดในการทำอก แต่ถ้าคุณไม่มีปัญหาในการข้ามจังหวัดในการทำก็ไม่เป็นไรครับ) สะอาดมีมาตรฐานรองรับ เปิดกิจการอย่างถูกกฎหมายมีใบรับรองจากแพทย์สภา (รับรองปลอดภัยหายห่วงครับ ถ้ามีใบนี้มารับรองไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นโรงพยาบาลหรือคลินิกเถื่อน หรือหมอกระเป๋ามาแอบอ้าง) หลังจากได้ข้อมูลสถานพยาบาลที่ต้องการได้แล้ว คราวนี้ก็ต้องนำข้อมูลจากข้อแรกมาเจาะลึกต่อครับว่า ฝีมือหมอที่อยู่ ณ โรงพยาบาลหรือคลินิกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง โดยอาจโพสถามบนอินเตอร์เน็ตหรือลองค้นหาด้วยตัวเองผ่านพี่กูเกิ้ลก่อนก็ได้ครับ จะเอาให้ชัวร์ก็คงต้องลองแอบไปสังเกตการณ์ด้วยตนเองนะครับเพราะดูจากที่สถานที่จริงคุณจะได้รู้ว่าพวกเขาบริการดีไหม สถานที่เหมาะแก่การขอเข้าบริการจริง นำข้อมูลจากข้อสองมาวิเคราะห์ครับว่าตรงตามมาตรฐานเกรณ์การตัดสินใจในใจคุณหรือไหม? ไม่วันจะเป็นเรื่องของสถานที่ ความสะอาด การให้บริการ หมอศัลยแพทย์ และราคาการทำ ถ้าผ่านทุกข้อแล้วก็เตรียมหาข้อมูลต่อไป เมื่อตัดสินใจว่าจะทำกับหมอคนไหนได้แล้วก็มาเตรียมข้อมูลของฝั่งตัวคนทำเองด้วยครับ โดยเฉพาะวันที่เข้าไปรับคำปรึกษานั้นควรจะเตรียมข้อมูลดังนี้ไปด้วยครับ คำถามที่ควรถามกับหมอผู้ทำ>>>ซิลิโคนที่ใช้ยี่ห้ออะไร ขนาดที่คนทำจะใส่ได้คือขนาดเท่าไหร่ ถ้ามีแบบและรูปทรงที่ต้องการก็อย่าลืมปริ้นให้หมอดูด้วยครับ หลังจากคุยเรื่องราคา ยี่ห้อและขนาดเสร็จ อย่าลืมถามหมอเรื่องวิธีการผ่าตัดว่าจะเลือกทำการผ่าตัดเปิดแผลทางไหนถึงจะเหมาะกับคุณมากที่สุด และสุดท้ายคุณอย่าลืมบอกประวัติแก่แพทย์ด้วยว่าคุณเคยมีประวัติแพทย์ยาอะไรบ้าง หรือเคยเป็นโรคร้ายแรง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับเลือดหรือไม่ให้แพทย์ได้รับทราบ เพื่อที่จะได้ช่วยแนะนำการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดให้คุณได้นั้นเองครับ
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
ใครคือคนที่ถูกแปลงเพศคนแรกของโลก
May 16, 2014
ในยุคนี้นับวันยิ่งอยู่ยากนะครับ เพราะปัจจุบันนี้ชายจริง หญิงแท้ที่เราเห็นกันอยู่ ณ ปัจจุบันนั้นอาจจะไม่ใช่ชายจริงหญิงแท้อย่างที่ตาเห็นก็ได้! เพราะว่าในปัจจุบันนี้ศัลยแพทย์ในไทยนั้นก้าวหน้าและฝีมือดีขึ้นถึงขนาดแปลงเพศจากชายกลายเป็นหญิง และจากหญิงแปลงเป็นชายจนถึงขั้นระดับโลกยังยอมรับนั้นเองครับ เลยทำให้คนทั่วไปอย่างเราๆอาจจะแยกออกยาก (นอกจากเหล่าหมอและนักศึกษาแพทย์เท่านั้นครับถึงจะแยกได้ในแว่บแรกที่เห็น) ใครคือคนที่ถูกแปลงเพศคนแรกของโลก? คนแรกที่ถึงว่าเป็นคนแรกที่ถูกแปลงเพศจากชายเป็นหญิงนั้นมีชื่อว่า George William Jorgensen, Jr เธอ เขา เกิดเมื่อ 30 พฤษภาคม 1926 เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 1989 ด้วยโรคมะเร็ง เป็นชาวอเมริกัน เป็นมนุษย์แปลงเพศคนแรกของโลก หลังจบการศึกษาจาก Christopher Columbus High School ในสาขาช่างภาพ ในปี 1945 เขาถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารเพื่อร่วมรบในสงครามโลก ครั้งที่ 2 หลังกลับจากสงคราม เขาเริ่มพูดถึงสิทธิ์ และสนับสนุนเพศที่ 3 ในแนวทางของ Dr.Joseph Angelo เขาเดินทางไปยังประเทศเดนมาร์ก เพื่อรับการศัลยกรรมแปลงเพศจากDr.Christian Hamburger เขา เดินทางกลับอเมริกาในปี 1953 หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ได้พาดหัวหน้าหนึ่งว่า อดีตทหารจีไอที่กลายเป็นสาวผมบรอนด์สุดสวย (Ex-GI Becomes Blonde Beauty) และเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า คริสทีน จอร์เจนเซ่น เธอ ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง ได้ออกรายการ TV คริสทีน จอร์เจนเซ่น ทำงานเป็นนักแสดง นักเต้น และวิทยากรให้ความรู้เรื่องการแปลงเพศ เธอ คือแรงบันดาลใจให้เพศที่สามลุกขึ้นยืนในสังคม ข้อมูลอ้างอิง แปลงเพศคนแรกของโลก (Christine Jorgensen)
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
การรักษาแผลคีลอยด์
May 12, 2014
แผลคีลอยด์(KELOID)คืออะไร ลักษณะทั่วไป : แผล เป็นนูนชนิดคีลอยด์จะมีขนาดใหญ่กว่าแผลเป็นธรรมดา และกว้างใหญ่กว่าแผลตอนเริ่มต้น มีลักษณะนูน แข็ง หรือหยุ่นคล้ายยาง ผิวมัน มองเห็นชัดเจนจากผิวหนังปกติ มีสีแดงเนื่องจากมีเส้นเลือดมาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก แผลเป็นนูนชนิดคีลอยด์อาจจะมีอาการเจ็บ คัน ร่วมด้วย อาจจะกดแล้วเจ็บ ก้อนเนื้ออาจจะค่อยๆ โตขึ้นหรือคงที่แต่จะใหญ่กว่าแผลเดิม สาเหตุ: แผล เป็นนูนเกิดจากการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเนื้อเยื่อผิวหนังส่วนที่เป็นแผล ผิวหนังมีการสร้างเนื้อเยื่อซ่อมแซมที่มากเกินไป จนทำให้เกิดการขยายตัวกว้างขึ้นมากกว่ารอยแผลที่เป็นอยู่ และพันธุกรรมมีส่วนทำให้เกิดรอยโรคได้ ตำแหน่งที่พบ: แผลเป็นนูนมักพบได้ทั่วร่างกาย ส่วนมากพบบริเวณผิวหนังที่ตึงตัว โดยจะเห็นมากบริเวณหลัง ไหล่ แขน ขา คอ หน้าอก และหลังหู ปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลเป็นแผลคีลอยด์มีดังต่อไปนี้ ปัจจัยแรก ก็คือลักษณะผิวที่แตกต่างกันในแต่ละคนนั้นเองครับ ดังนั้นผมจึงบอกไม่ได้ว่าถ้าใครเป็นขึ้นมานั้นจะเป็นมากหรือน้อยกว่าคนอื่นๆนั้นไม่ได้ ปัจจัยที่สอง ก็คือตำแหน่งของการเป็นแผลที่ขึ้นตามส่วนต่างๆร่างกายนั้นเอง เพราะโอกาสที่จะเกิดแผลฯนั้นในแต่ละส่วนมีโอกาสการเป็นที่ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะส่วนของใบหน้านั้นเป็นส่วนที่เกิดแผลคีรอยด์ได้น้อยมากในขณะเดียวกันหลายตำแหน่งบนร่างกายจะเกิดเป็นแผลคีลอยด์ได้ง่ายกว่าเยอะ เช่น ตำแหน่งบนลำตัว นับตั้งแต่หน้าอกไปจนกระทั่งถึงหน้าท้องน้อย ปัจจัยที่สาม คือสภาพของแผล หลังจากที่เป็นแล้วสามารถรักษาให้กลับคืนสู่สภาพผิวเดิมมากที่สุดเท่าไรนั้น? ขอบอกเลยครับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะบอกได้ว่าจะรักษาถึงขั้นไหน ถึงจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแต่พวกคุณก็สามารถทำให้มีขนาดที่เล็กลงด้วยวิธีรักษาต่างๆดังนี้ครับ เพศและวัยที่มักจะเป็นกัน - ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย - ผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก (ในวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยกว่าในวัยอื่นๆ) - คนผิวคล้ำจะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนผิวขาว - ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นและมีประวัติของครอบครัวมีแผลเป็น จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้มากกว่าผู้ที่ไม่เคยมีประวัติ ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์ที่พบได้บ่อยๆ ได้แก่ - แผลจากการเป็นสิว - แผลจากการเจาะหู - แผลปลูกฝี ฉีดวัคซีน - แผลผ่าตัดต่างๆ - แผลผ่าคลอด - แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก - แผลถูกของมีคมบาด - แผลจากอุบัติเหตุ - แผลจากรอยสัก 8 คำถาม เรื่องการรักษาคีลอยด์ Q1: การรักษาแผลเป็นคีลอยด์ต้องรักษากี่ขั้นตอน สำหรับการรักษาแผลเป็นคีลอยด์นั้น ในปัจจุบันมีวิธีการรักษาด้วยเทคนิคใหม่ที่เรียกว่าScarless Technique ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างการใช้การผ่าตัด แสงเลเซอร์ และตัวยา เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ได้ผลดีกว่าวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมที่เคยทำมา และลูกค้าได้รับพึงพอใจมากที่สุด Q2: อะไรคือข้อจำกัดของการรักษาแผลเป็นที่เรียกว่าคีลอยด์ (Keloid) แผลเป็นคีลอยด์ จะมีลักษณะคล้ายเนื้องอก มีขนาดใหญ่ขึ้นและจะลุกลามผิวปกติของเราไปเรื่อย ๆ อาจจะไม่อันตรายเหมือนเนื้องอกที่เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง แต่ก็สร้างความรำคาญใจให้กับผู้ที่เป็น ข้อจำกัดของการรักษา แผลเป็นคีลอยด์อยู่ที่การเอาเซลล์ที่ผิดปกติออกไม่หมดก็จะกลับมาเป็นอีกเกือบ 100% โดยที่ก้อนคีลอยด์ใหม่จะโตเร็วและมีขนาดใหญ่กว่าเดิม นอกจากนี้คนไข้อาจจะต้องมีเวลาในการมารักษาพอสมควรเพื่อการรักษาที่ต่อเนื่อง และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีกนั่นเอง Q3: ปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้ ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดขึ้นได้นั้น อันดับแรกจะเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ ปัจจัยที่สองเป็นเรื่องของตำแหน่งบนร่างกาย ที่พบบ่อยมีอยู่ 4 จุด คือ บริเวณหู เกิดจากการเจาะหู, บริเวณไหล่ เกิดจากการฉีดยา, บริเวณหน้าอกหรือหลัง เกิดจากการเป็นสิว และบริเวณหน้า อย่างเช่นตรงขากรรไกร เกิดจากการเป็นสิวหรือรอยแผลอื่น ๆ ปัจจัยที่สามเป็นเรื่องของการอักเสบหรือติดเชื้อ เช่น แผลบริเวณนั้นมีการอักเสบหรือติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน ถ้าอักเสบเยอะหรือติดเชื้อและแผลหายช้าก็จะมีโอกาสเป็นเนื้องอกคีลอยด์ได้มากกว่า นอกจากนี้ขนาดและความลึกของแผลก็จะมีผลต่อการเกิดเนื้องอก คีลอยด์อีกด้วย Q4: ในกรณีที่คนไข้ไม่มารักษาคีลอยด์ (Keloid) จะเป็นอันตรายได้หรือไม่ สำหรับคนไข้ที่ไม่ได้ตัดสินใจมารักษาคีลอยด์ แผลเป็นชนิดนี้อาจไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ กับร่างกายในแบบที่รุนแรง แต่จะทำให้ตัวคนไข้เองมีอาการปวดคันบริเวณแผล และก้อนคีลอยด์จะลุกลามขยายวงกว้างออกไป โตจนถึงจุดหนึ่งแล้วจึงจะหยุดขยายขนาดซึ่งในกรณีคนที่มีคีลอยด์ขนาดใหญ่มากอาจจะรู้สึกรั้งเวลาขยับเขยื่อนร่างกาย เช่นบริเวณ ใบหู คอ แขน หรือขา เป็นต้น นอกจากนี้ถ้าแผลคีลอยด์เกิดบริเวณนอกร่มผ้า เช่น ใบหน้า ต้นแขน ก็จะมีผลต่อความไม่มั่นใจ ความสวยงาม ซึ่งส่งผลต่อการปฏิบัติงานในบางสาขาอาชีพ Q5: จุดไหนที่เป็นคีลอยด์ (Keloid) แล้วจะรักษายากที่สุด ส่วนที่รักษาง่ายที่สุดคือบริเวณใบหู เพราะแผลจะเล็ก เป็นเพียงแผลที่เกิดขึ้นเพราะการเจาะหูเท่านั้น มีขนาดแค่ 1-2 เซนติเมตร แต่การรักษาคีลอยด์ที่ยากที่สุดคือ คีลอยด์ที่มีลักษณะใหญ่มาก อย่างเช่น แผลเป็นบริเวณหน้าอกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ Q6: ระยะเวลาในการรักษาคีลอยด์ (Keloid) ระยะเวลาในการรักษาแผลเป็นคีลอยด์นั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็นเป็นหลัก หากใหญ่มากและนูนมากก็จะใช้เวลานาน โดยทั่วไปใช้เวลาเฉลี่ย 1-6 เดือน เพราะหลังจากการผ่าตัดและเลเซอร์แล้ว จำเป็นต้องใช้ยาร่วมด้วยไปอีกสักระยะ และนอกจากนี้จะต้องติดตามผลการรักษาต่อไปอีกอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป Q7: ราคาในการรักษา โดยทั่วไปราคาจะขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของแผล หากไม่ใหญ่มากนักแค่ประมาณ 1-5 เซนติเมตร จะราคาอยู่ที่ 10,000-20,000 บาท หลังจากนั้นก็จะเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตามผล ทายา รับประทานยาต่อไป Q8: มีโอกาสกลับมาเป็นอีกหรือไม่ การรักษาแผลเป็นคีลอยด์นั้นสามารถรักษาให้หายได้ แต่ในทางการแพทย์เราจะไม่ใช้คำว่า หายขาด เพราะยังไม่มีผลที่ยืนยัน 100% ว่าแผลเป็นคีลอยด์นั้นจะไม่กลับมาอีก แต่การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถช่วยกำจัดและชะลอการเกิดขึ้นใหม่ของแผลเป็นได้ หากมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง แม้ในบางรายอาจมีการเกิดขึ้นมาใหม่แต่จะไม่มีขนาดใหญ่เท่าก่อนรักษาแน่นอน
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
ก่อนทำตา2ชั้นควรทำเข้าใจกันก่อน
May 8, 2014
ศัลยกรรมตา คือ แต่เดิมนั้นการทำศัลยกรรมตานั้นถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือในกลุ่มคนที่มีปัญหาในด้านการนอนไม่หลับ(นอนหลับไม่แล้วแต่ไม่สามารถปิดดวงตาลงได้สนิท)ครับ รวมถึงในกลุ่มคนที่มีปัญหาในด้านของกล้ามเนื้อตา เช่นพวกกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเลยทำให้มีสภาพเหมือนคนง่วงนอนอยู่ตลอดเวลานั้นเอง แต่ในปัจจุบันนั้นการศัลยกรรมตานั้นได้มีฐานคนไข้ที่เปลี่ยนไป เนื่องจากค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคนี้นั้นเองโดยตั้งแต่ยุคหลัง ค.ศ.2000เป็นต้นมาคนเอเชียส่วนใหญ่เดียวนี้ทั้งชายและหญิงมักจะนิยมตาสองชั้นแบบเน้นชัดเจนเหมือนตาของชาวยุโรป กับตาแขกอาหรับนั้นเอง แล้วนั้นก็คือแรงกระตุ้นให้วงการศัลยกรรมตาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครับ เพราะศัลยแพทย์เฉพาะด้านอย่างด้านตาต่างแข่งขันกันหาวิธีการผ่าตัดแบบต่างๆที่ทำตาสองชั้นออกมาดีที่สุด เนียนที่สุด(ทำให้แผลเล็กที่สุด) และสวยที่สุดนั้นเองครับ แล้วเพราะการแข่งขันการคิดค้นวิธีใหม่ดังกล่าวนั้นเอง เลยทำให้ปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดทำตาสองชั้นออกมาถึง 6 วิธีดังนี้ครับ การผ่าตัดทำตาสองชั้นทั้งหกวิธี ที่ควรทำรู้จักก่อนที่จะตัดสินใจทำตาสองชั้นที่ถูกต้อง วิธีที่ 1 การเย็บเปลือกตาด้านใน ; การเย็บเปลือกตาด้านใน โดยแพทย์จะเย็บจากเปลือกตาด้านใน ข้อเสีย วิธีนี้แพทย์จะเย็บจากเปลือกตาด้านใน ซึ่งระยะเวลาการคงอยู่จะประมาณ 1-2 ปีเท่านั้น แล้วชั้นตาจะหลุดต้องกลับมาแก้ใหม่อีกครั้ง วิธีที่ 2 การตัดหนังตาออกและเย็บ; วิธีนี้แพทย์จะกรีดเปลือกตาบนเป็นทางยาว เพื่อเอาไขมันส่วนเกินออกแล้วเย็บแผลตามรอยกรีด ข้อเสียของวิธีนี้คือ ชั้นตาจะเป็นตะเข็บรอยแผลหยาบและเป็นรอยยาว วิธีที่ 3 การกรีดเปลือกตา; วิธีการไม่แตกต่างจาก 2 วิธีด้านบน แต่แผลจะเล็กและเนียนกว่า วิธีที่ 4 การใช้เลเซอร์; วิธีนี้ทำให้เลือดออกน้อย แต่ไม่ได้ทำให้แผลสวยกว่าการผ่าตัดปกติ วิธีที่ 5 ดูดไขมัน; เป็นเทคนิคการเจาะรูเล็กๆประมาณ 1 เซนติเมตร ที่เปลือกตาบนแล้วดูดไขมันออก ถ้าทำถูกวิธีและถูกจุด จะได้ชั้นตาสวยเป็นธรรมชาติมาก วิธีที่ 6 ดูดไขมันร่วมกับการใช้ Microscopic Surgery; เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด วิธีนี้จะมีรอยแผลเป็นที่เปลือกตาเล็กมาก แทบมองไม่เห็น ไม่มีอาการบวมช้ำ และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
เสริมจมูกเก่งที่สุด คำถามยิดฮิตสำหรับคนเสริมจมูก
May 6, 2014
หลายๆคนก่อนที่จะทำการเสริมจมูกต้องค้นคว้าหาข้อมูลการหลายยกกว่าที่จะตกลงปลงใจเสริมจมูกกับที่ใดที่หนึ่งซึ่ง หนึ่งในคำถามยิดฮิตนั้นก็คือ ใคร เสริมจมูกเก่งที่สุด ? บ่อยครั้งที่เรามองดูรูปภาพดารา นักแสดงคนโปรดแล้วเกิดนึกอิจฉา ทำไมถึงเกิดมาพร้อมกับเครื่องหน้าที่ได้สัดส่วน อย่างเช่น มาช่า ดาราคนโปรด เมื่อวิเคราะห์ในแต่ละองค์ประกอบบนใบหน้าของมาช่า จะเห็นได้ว่า เครื่องหน้านั้นมีสัดส่วนที่รับกันดี ตั้งแต่หน้าผาก จมูก ตา ปาก แก้ม คิ้ว คาง ช่างเป็นความงามที่ทุกคนปรารถนาจะเป็นเจ้าของจริงๆ โดยเฉพาะจมูก ที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขจมูก เหมือนกับคนอีกหลายล้านคนทั่วโลก ซึ่งมีจมูกทั้งเล็ก ทั้งใหญ่ สั้นๆ บานๆ จนต้องทำให้เสียเงินจ้างคุณหมอเสริมจมูกเก่งที่สุด ให้ได้ ไม่ว่าจะแสนแพงขนาดไหนก็ตาม ที่สำคัญไม่ได้เสริมแค่ดั้งจมูกเท่านั้น บางคนต้องตัดปีกจมูก หรือทำขายืดปลายจมูกขึ้นไปให้โด่ง พร้อมกับแต่งปลายจมูกให้เป็นรูปหยดน้ำ ไม่เช่นนั้นก็จะดูตลก เพราะแค่เสริมดั้งจมูกอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้เรามีรูปทรงจมูกที่สวยงามได้ ดังที่หลายๆ คนเข้าใจผิดกัน บางคนโชคดี หลังจากเสริมจมูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า ได้ใบหน้าที่เรียวแถมมาด้วย แต่หลายๆ คนกลับโชคร้าย ถึงแม้ว่าจะได้จมูกที่รับกับใบหน้า แต่กลับได้ปากที่ยื่นออกมา เมื่อมองจากด้านข้าง หรือเอียงไปทางด้านหลัง ก็จะเห็นปากยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด เลยต้องไปหาเงินมาแก้ไขปาก หรือบางคนเมื่อแก้ไขจมูกเสร็จเรียบร้อย กลับได้หน้าผากที่แคบไป เพราะการทำให้จมูกโด่งขึ้น คงจะไปรั้งหน้าผากให้ตึงเกินไป ก็ช่างเป็นการทรมานบันเทิง เพื่อความสวยงามตามที่คาดหวัง จนมีคำถามที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ว่า ทำบุญด้วยอะไร ถึงได้หมดจด สวยงาม ขนาดนี้ เพราะฉะนั้น ใครเสริมจมูกเก่งที่สุด คำตอบคงอยู่ที่ตัวคุณเองว่าคุณพอใจกับรูปทรงแบบไหน คุณชอบเทคนิคของคุณหมอคนไหน และนั้นก็จะกลายเป็นคำตอบของตัวคุณเอง
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
การทำศัลยกรรมเสริมคาง
การศัลยกรรมเสริมคาง (mentoplasty) ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยในกลุ่มคนที่มีปัญหาเรื่องโครงหน้าส่วนล่างมีความผิดปกติ เพราะกระดูกกรามล่างตรงด้านหน้าผิดรูปนั้นเอง เช่นบางคนเกิดมากระดูกด้านหน้ายื่นออกมาในลักษณะที่องศามากเกินไปก็จะเป็นลักษณะคางยื่นแบบเห็นได้ชัดเจน และอีกแบบหนึ่งที่พบไปคือคนที่คางสั้นเพราะกระดูกคางมันหดเข้าไปนั้นเอง เลยทำให้มองจากลักษณะภายนอกกลายเป็นคนมีคางนั้นเอง แต่ทุกปัญหาที่กล่าวไปนั้นไม่ค่อยเจอกับคนไทยครับ ปกติคางของคนไทยมักจะเป็นคางรูปป้าน เหลี่ยมแบนครับ ทำให้มีลักษณะสวยหล่อเป็นเอกลักษณ์กันดีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากในปัจจุบันนั้นค่านิยมได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้คนส่วนใหญ่นิยมคางแบบเล็ก เรียว แหลมได้รูปนั้นเอง โดยเดียวนี้นิยมทำทั้งในผู้หญิง และชายกันมากขึ้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเดียวผมจะมาพูดถึงการทำศัลยกรรมเสริมคางอย่างละเอียด ให้แก่ผู้สนใจอยากจะทำได้ศึกษากันอย่างละเอียด เพื่อใช้ในการตัดสินใจก่อนทำนั้นเองครับ ผู้ที่เหมาะต่อการทำศัลยกรรมคาง ใช่ว่าผู้ที่มีปัญหาคางสั้น-คางหลบ ทุกคนจะสามารถทำศัลยกรรมคางแล้วได้ผลดีเสมอไป ผู้ที่เหมาะสมต่อการทำศัลยกรรมคาง ยังต้องมีโครงสร้างส่วนของฟันและกรามที่มีความแข็งแรง และทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีภูมิต้านทานร่างกายที่ดีพอ เพื่อป้องกันอาการอักเสบหรือติดเชื้อภายหลังการทำศัลยกรรมด้วย นอกจากการศัลยกรรมเสริมคางแล้ว ในบางกรณีศัลยแพทย์อาจพิจารณาว่าให้ผู้ป่วยควรปรับแก้ไขรูปหน้าส่วนล่างโดยการฉีดฟิลเลอร์ร่วมด้วย เพื่อให้เห็นรูปคางที่ชัดเจนและสวยงามมากยิ่งขึ้น การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการศัลยกรรมเสริมคาง -กินอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำมาก ๆ -งดอาหารเสริมหรือยาที่มีคุณสมบัติเรื่องการแข็งตัวของเลือด ทั้งนี้คุณจำเป็นต้องแจ้งรายละเอียดแก่แพทย์ถึงยาและอาหารเสริมรวมทั้งสมุนไพรที่คุณรับประทานอยู่ -กินอาหารให้พออิ่มก่อนเข้ารับการศัลยกรรม เพราะหลังการศัลยกรรมแล้วมักกินอะไรไม่ได้มาก -แปรงฟัน บ้วนปากให้สะอาด ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ขั้นตอนการศัลยกรรมเสริมคาง ในการทำศัลยกรรมเสริมคางแพทย์จะให้ยาสลบแก่ผู้ป่วย จากนั้นกระบวนการผ่าตัดจึงเริ่มต้นขึ้น วัสดุที่ใช้ในการเสริมคางเป็นซิลิโคนแท่ง ลักษณะคล้ายยางที่มีความยืดหยุ่น นำมาเหลาให้ได้รูปทรงที่รับพอดีกับคางของคุณการศัลยกรรมเสริมคางใช้เวลาราว 30-45 นาที แต่หากคุณทำศัลยกรรมเกี่ยวกับใบหน้าอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า ศัลยกรรมริมฝีปาก ศัลยกรรมตาสองชั้น ฯลฯ เวลาที่ใช้ในการผ่าตัดก็ย่อมมากขึ้น ศัลยแพทย์จะทำการเปิดผิวบริเวณด้านในปาก บริเวณด้านในของริมฝีปากล่าง ตั้งแต่ส่วนของเหงือกลงไปจนถึงส่วนของกระดูกคางด้านหน้า และทำการฝังและยึดซิลิโคนลงในตำแหน่งที่ได้วัดระยะอันเหมาะสมเอาไว้แล้ว จากนั้นจึงเย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย ที่จะสลายไปเองได้ภายใน 10 วัo แต่หากเป็นกรณีที่ทำการเสริมคางไปพร้อม ๆ กับศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า แพทย์จะสร้างรอยผ่าตัดที่บริเวณใต้คางเพื่อความสะดวกต่อการศัลยกรรมทั้งสองชนิด ซึ่งรอยแผลที่อยู่บริเวณนี้ก็สามารถซ่อนตัวจากสายตาได้เป็นอย่างดี นอกจากการศัลยกรรมเสริมคางแล้ว ยังมีการศัลยกรรมเกี่ยวกับคางอีกอย่างหนึ่ง คือ "การศัลยกรรมเลื่อนคาง" (sliding genioplasty หรือ chin advancement) มักทำในกรณีคนที่มีคางสั้นมาก ๆ และร่นไปอยู่ด้านหลังเยอะ ซึ่งหากใช้ซิลิโคนเสริมก็ต้องเป็นซิลิโคนชิ้นใหญ่ และดูไม่เป็นธรรมชาติ ศัลยแพทย์จะทำการเลื่อยกระดูกส่วนคางในแนวนอน และทำการเลื่อนตำแหน่งออกมาด้านหน้าจากนั้นจึงใช้น็อตพิเศษยึดเอาไว้ ก็จะทำให้ใบหน้าที่เคยดูอูมกลม กลับมาได้สัดส่วนและดูเรียวมีมิติมากขึ้น ความเสี่ยงในการศัลยกรรมเสริมคาง ริมฝีปากรู้สึกชา เนื่องจากมีแผลผ่าตัดอยู่ด้านในริมฝีปากล่าง ซึ่งอาการจะค่อย ๆ บรรเทาลงเองเมื่อเวลาผ่านไป คางและบริเวณรอบ ๆ มีอาการบวม เจ็บ การรับความรู้สึกที่บริเวณคางเปลี่ยนไป อาจเป็นได้ทั้งเพียงชั่วคราว หรือเกิดขึ้นถาวร ซิลิโคนเลื่อนออกจากตำแหน่ง อันเกิดจากการกระทบกระเทือนที่บริเวณใบหน้า เกิดการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด การพักฟื้นหลังการทำศัลยกรรมเสริมคาง -ในกรณีที่แผลผ่าตัดอยู่ภายในช่องปาก หลังการผ่าตัดผู้ป่วยควรกินอาหารเหลวหรืออาหารอ่อนที่ไม่ต้องเคี้ยวมาก เพื่อลดการกระทบกระเทือนของบาดแผล และบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากหรือน้ำเกลือทุกครั้งหลังกินอาหาร เพื่อไม่ให้เศษอาหารไปติดที่ปากแผล หรือเกิดการติดเชื้ออักเสบในกรณีช่องปากไม่สะอาด -อาการปวดบวมที่บริเวณแผลสามารถเกิดขึ้นได้ใน 3-4 วันหลังการผ่าตัด แต่หากปวดมากผิดปกติควรกลับไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจจ่ายยาแก้ปวดลดอักเสบ รวมถึงจ่ายยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันอาการติดเชื้อด้วย แต่หากเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการผ่าตัด แพทย์อาจพิจารณานำซิลิโคนออกได้ -นอนในท่ายกศีรษะสูง ให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ไม่คั่งอยู่ที่บาดแผล -งดการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนักเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนที่บริเวณใบหน้า -สามารถกลับไปทำกิจกรรมเบา ๆ ตามปกติได้ภายใน 5-7 วัน
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
ศัลยกรรมแต่พอดีVSเสพย์ติดศัลยกรรม
May 1, 2014
เนื่องจากวันนี้ผมได้ลองหาข้อมูลเรื่องการศัลยกรรมในแต่ละประเทศเพิ่มเติม เลยได้พบกับข่าวเหล่านี้ในวันนี้ครับ ครั้งแรกที่ได้เห็นก็ทำให้ผมตกใจมากกับเทรนความนิยมของสาวๆเอเชียสมัยนี้จริงๆครับ เพราะแวบแรกที่ผมเห็นผมก็คิดในใจว่า ’เดียวนี้เขานิยมศัลยกรรมแบบเอาตัวอย่างการทำจากนอกโลก และเหนือจินตนาการกันแล้วใช่ไหม’ โดยสาวรายแรกที่ผมเห็นนั้นเธอเป็นเน๊ตไอดอลโดยมีชื่อในเน๊ตว่า ‘Tina/Dina Leopard’ครับ โดยเธอคนนี้คงชื่นชอบเอเลี่ยนเป็นพิเศษละมั้งครับ เพราะเธอศัลยกรรมออกมาแล้วเหมือนเอเลี่ยนมาก ส่วนรายต่อมาเธอชื่อ ‘ริกะ/รินะ นานาเสะ’ เป็นสาวน้อยอดีตหน้าสวยหวานครับ เพราะปัจจุบันที่เธอแอบไปอัพหน้ามานั้นปัจจุบันได้เปลี่ยนให้หน้าปัจจุบันเธอกลายเป็นสาวเอลฟ์แทนครับ ที่ผมร่ายยาวเกี่ยวกับสาวๆสองคนนี้ในวันนี้ก็ไม่ใช่อะไร แต่เหตุผลที่ผมต้องกล่าวถึงสองสาวนี้ก็เพราะสองสาวนี้ก็คือตัวอย่างของคนที่เสพย์ติดศัลยกรรมนั้นเองครับ ดังนั้นวันนี้ผมจะมาแนะนำผู้ที่สนใจจะทำศัลยกรรมทุกท่านดีกว่าครับว่าควรจะทำศัลยกรรมแบบไหนถึงจะเรียกว่าทำแบบพอดี แล้วใครที่มีลักษณะเข้าข่ายเสพย์ติดศัลยกรรมกันดีกว่าครับ แบบไหนถึงจะเรียกกว่าศัลยกรรมแต่พอดี? เมื่อไหร่ที่คนใกล้ตัวที่สุดของพวกคุณรวมถึงหมอที่พวกคุณได้เข้าไปปรึกษาด้วยได้ทักห้ามอย่างพร้อมเพียงกัน ก็ควรหยุดเลยครับ เพราะถ้าพวกคุณยังขืนดันทุรังที่จะทำต่อโดยไม่สนใจเสียงรอบข้างที่พยายามเตือนพวกคุณแล้วละก็ จากที่เคยสวยหล่อถึงขีดสุด มันจะกลายเป็นกระบวนการย้อนกลับตรงข้ามทันทีเลยครับ เสพย์ติดศัลยกรรมคืออะไร? "การเสพติดศัลยกรรม" คืออาการของผู้ที่รู้สึกไม่พอใจกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองสักที และต้องการการศัลยกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ได้อย่างใจอยู่ไม่รู้จบ โดยมีสิ่งเร้าที่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมดังกล่าว สาเหตุส่วนใหญ่ของผู้ที่เสพติดการศัลยกรรม โดยมากมาจากอาการ บีบีดี หรือ "บอดี้ ดิสมอร์ฟิก ดิสออร์เดอร์" (Body dysmorphic disorder, BBD) ที่มีความกังวลจนถึงขั้นหมกมุ่นเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองมากเกินไป ทำให้ไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตนเองและคิดว่าการศัลกรรมคือทางออกสุดท้าย อีกทั้งมีปัจจัย 3 อย่างด้วยกันเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ป่วยเสพติดศัลยกรรม 1 คิดว่าการศัลยกรรมช่วยแก้ไขความบกพร่องของร่างกายได้ถาวร ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดเพราะการศัลยกรรมสามารถช่วยแก้ไขได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น (เพราะถ้าถึงเวลาที่วัสดุที่ใช้หมดอายุหรือสภาพร่างกายของผู้ทำมันทนรับต่อไปไม่ไหวก็ต้องกลับมาแก้ไขกันหใม่ครับ*) 2 เชื่อว่าการศัลยกรรมแก้ปัญหาของชีวิตได้ เพราะจะช่วยแก้ไขความบกพร่องและเป็นที่ยอมรับในสังคม 3 เสพติดความสวยจากไอดอลที่ตนชื่นชอบผ่านหน้าจอทีวี จนต้องทำศัลยกรรมซ้ำซ้อนเพื่อให้มีใบหน้าคล้ายกับไอดอลที่ตนชื่นชอบมากที่สุด สรุปนะครับสำหรับใครที่ทำแค่เอาแบบสวยหล่อเป็นธรรมชาติแล้วทุกคนจะทำแล้วออกมาสวยหล่อทุกคนครับ แต่ถ้าใครที่มีความต้องการแบบอยากได้แบบเยอะเกินธรรมชาติมักจะไม่รอดแล้วต้องแก้กันอีกหลายรอบเลยครับ (เพื่อนๆร่วมวงการเดียวกับผมโดนลูกค้าประเภทนี้เยอะ) เอาเป็นว่าหลังจากที่ทุกคนอ่านจบแล้วมีปัญหาอะไรก็สามารถโพสคำถามได้ที่ท้ายบทความนะครับ เดียวผมว่างเมื่อไหร่ก็จะเข้ามาช่วยตอบครับ
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
การดูแลตนเองหลังผ่าตัดดึงหน้า
April 28, 2014
หลังจากผู้ทำได้ผ่านขั้นตอนการทำที่ยากที่สุดไปแล้ว (ขั้นตอนขึ้นเขียงให้หมออย่างพวกผมลงมีดนั้นเอง) ถ้าทำเสร็จแล้วไม่มีอะไรให้เป็นปัญหา1-2วันคุณก็ออกจากสถานที่ทำได้เลยครับ แต่ออกไปแล้วก็อย่าลืมดูแลปฏิบัติตัวเองตามนี้ด้วยครับ สำหรับใครที่เลือกทำศัลยกรรมหน้านะครับ หลังจากผ่าตัด ผู้เข้ารับการรักษาควรพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล 1-2 วัน สามารถไปทำงานได้หลังผ่าตัด 10 วัน ประคบเย็นที่ใบหน้า บริเวณหน้าผาก และแก้มทั้ง2ข้าง วันละ4ครั้ง เพื่อลดอาการบวมประมาณ 3-5 วัน ควรนอนยกศีรษะสูงเพื่อลดความบวม (ควรหาหมอนมาหนุน2ใบ) ผ้าตาข่ายที่พันบริเวณใบหน้านั้นจะถูกปิดไว้เพียง 1 วันพอเช้าวันรุ่งขึ้นให้ตัดหรือแกะออก หลังจากนั้นสระผมได้โดยเกาอย่างเบามือ เพื่อล้างคราบเลือดออกซับและเป่าให้แห้งสามารถสระผมได้ทุกวันตามปกติ 5 วันหลังการผ่าตัดให้มาตัดไหมบริเวณหน้าหู “บริเวณนี้ไม่ควรตัดไหมช้าเพราะจะเป็นแผลเป็น” 7 วันหลังทำการผ่าตัดให้มาคลายไหมที่ศีรษะเพื่อลดอาการตึงของแผล 10 วันหลังทำการผ่าตัดให้มาตัดไหมทั้งหมดออก (พร้อมทั้งพบแพทย์เพื่อตรวจแผล) หลังจากคลายไหมแล้ว ให้ใช้วิตามินอีทานวดแผลที่บริเวณกกหู หลังหู ท้ายทอย เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นนูนแข็งวันละ 2 ครั้งทุกวัน รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้หมด ถ้าเกิดอาการผิดปกติหลังทานให้มาพบแพทย์ทันที งดดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์ ถ้ามีอาการเลือดออกมาก หรือบวมผิดปกติให้รีบกลับมาพบแพทย์ทันที
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
สิ่งที่ควรถามเมื่อพบแพทย์ “ก่อนทำการผ่าตัดดึงหน้า”
April 25, 2014
สำหรับผู้อ่านท่านใดที่สนใจทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า แล้วตัดสินใจจะทำแล้วจริงผมขอแนะนำครับว่าให้เก็บข้อมูลเหล่านี้ไปพูดคุยกับหมอที่จะทำให้ด้วยนะครับ โดยคำถามที่จำเป็นต้องรู้ก็มีดังนี้ครับ - ความตึงของใบหน้าที่ต้องการดึง “โดยดูจากต้องการยกร่องแก้มมากขนาดไหน” - บริเวณหางคิ้วต้องการยกสูงเท่าใด - ตำแหน่งของจอน (Ear lock) ของผู้ชายอาจต้องเปลี่ยนตำแหน่ง “ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนตำแหน่งของแผลเป็นเพื่อไม่ให้จอนเปลี่ยนตำแหน่ง” - แผลที่บริเวณเหนือใบหู เลือกทำได้2ตำแหน่งคืออยู่ในไรหู-อยู่ชิดกับไรผม - ต้องการดูดไขมันใต้คางด้วยหรือไม่? (กรณีที่มีไขมันพอกเยอะจนเกือบเป็นคางหลายชั้น) - ถ้ามีไขมันใต้คางมากสามารถดูดหรือตัดไขมันใต้คางร่วมกับการผ่าตัดดึงหน้าได้ - ต้องการวางยาสลบหรือเลือกที่จะฉีดยาชาเฉพาะที่ - ดึงทั้งหน้าใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 4 ชั่วโมงแต่ถ้าเลือกทำเฉพาะส่วนเช่นดึงคิ้วและขมับหางตาเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงโดยต้องใช้การวางยาสลบ - แต่ถ้าทำเฉพาะการดึงหน้าส่วนบน การดึงคิ้ว-ขมับและหางตา การดึงคอ ส่วนใดส่วนหนึ่งอย่างเดียวนั้น อาจจะเลือกเป็นฉีดยาชาเฉพาะส่วนได้
Categories:
บทความน่ารู้เกี่ยวกับศัลยกรรม
1
2
…
4
ต่อไป →
Copyright © 2016
www.asia-clinic.com
All rights reserved